
รู้จักน้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวอาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ น้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD Coconut Oil) และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil) ซึ่งน้ำมันมะพร้าว อย่างหลังกำลังได้รับความสนใจอย่างสูงเนื่องจากเป็นที่นิยมและยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ
น้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD Coconut Oil)
น้ำมันมะพร้าวที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น ใช้ในการทอดอาหาร หรือในการผลิตอาหารต่างๆ เป็นน้ำมันมะพร้าวที่ผลิตจากเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) น้ำมันที่สกัดได้จะต้องผ่านขบวนการทำให้บริสุทธิ์ (Refined) การฟอกสี (Bleached) และกำจัดกลิ่น (Deodorized) ก่อนที่จะนำไปบริโภค น้ำมันชนิดนี้บางครั้งจะถูกกล่าวถึงว่าเป็น “น้ำมันธรรมชาติ” (Natural Coconut Oil) แต่ความจริงเป็นน้ำมันมะพร้าวชนิด RBD (Refined, Bleached, Deodorized) น้ำมันชนิดนี้จะมีความหนืด และมีสีเหลืองอ่อน
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil)
น้ำมันมะพร้าวอีกชนิดหนึ่ง รู้จักกันในชื่อ “น้ำมันมะพร้าวเวอร์จิ้น” (Virgin Coconut Oil) หรือน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ซึ่งมีขบวนการผลิตที่พิถีพิถันมาก ที่เรียกว่า Cold Process หรือ Cold Pressed เพราะไม่มีการใช้ความร้อนเลย ทำให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพพิเศษ ที่มีกลิ่นหอม รสชาติดี อุดมด้วยวิตามิน E และสาร Antioxidants และได้รับการกล่าวขวัญว่ามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ
ขั้นตอนการผลิตน้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD)
เนื้อมะพร้าวจะถูกนำมาทำให้แห้ง โดยการตากหรืออบในเตา เพื่อให้น้ำในเนื้อมะพร้าว ลดลงจากประมาณ 50% เหลือ 3.5% จากนั้นเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) จะถูกบด และนำไปผสมกับน้ำเดือด ก่อนที่จะผ่านต่อไปยังเครื่องนวด เพื่อคั้นน้ำมันออกมาให้ได้มากที่สุด หลังจากแยกกากออก ส่วนผสมที่ได้จะถูกเคี่ยวช้าๆ ด้วยความร้อนต่ำ เป็นเวลานานเพื่อให้ น้ำระเหยออกไป จนเหลือแต่น้ำมัน (ผู้ผลิตบางรายอาจใช้วิธีต้ม Copra ที่บดแล้ว และบางรายอาจใช้สารละลาย เพื่อช่วยให้สกัดน้ำมันได้มากขึ้น เศษกากมะพร้าวที่เหลือมีโปรตีนสูง และมักใช้เป็นอาหารสัตว์) น้ำมันที่ได้จะต้องผ่านขบวนการกรอง เพื่อแยกสิ่งแปลกปลอมออกแล้วนำไปต้มเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ การฟอกสีและการกรองอีกครั้งจะทำให้ได้น้ำมันมะพร้าวที่ไม่มีสี และปราศจากกลิ่นหรือแม้แต่รสชาติ ผู้ผลิตส่วนมากจะเติมสี เพราะเกรงว่าน้ำมันใสๆ จะไม่ถูกใจผู้บริโภค
ขั้นตอนการผลิตน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil)
ในขบวนการผลิตจะใช้ระบบ Cold Press ซึ่งจะไม่มีการใช้ความร้อนใดๆ ทั้งสิ้น งานส่วนใหญ่จะทำด้วยมือ โดยเริ่มจากการคัดเฉพาะมะพร้าวคุณภาพดี จากนั้นนำเนื้อมะพร้าวสดไป “ขูด” หรือ “บด” โดยใช้เครื่องขูด/บดมะพร้าว เนื้อมะพร้าวที่ขูดแล้ว จะถูกนำไปใส่ถุงตาข่ายพิเศษ และคั้นน้ำกะทิออกด้วยมือหรือเครื่องอัดแบบใช้มือ (Manual Press) น้ำกะทิที่ได้จะถูกนำไปผสมกับน้ำมะพร้าว และปล่อยทิ้งไว้ให้แยกตัว (Culturing) ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 20 ชั่วโมง ส่วนผสมจะแยกตัวออกเป็น 3 ชั้น ชั้นบนจะเป็นส่วนของโปรตีน ชั้นกลางจะเป็นน้ำมันมะพร้าว และชั้นล่างสุดจะเป็นน้ำ น้ำมันที่ได้จะถูกแยกออกมากรอง และแยกส่วนน้ำทิ้งไป แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แยกตัว (Resting) ขบวนการที่ปล่อยน้ำมันทิ้งไว้ (Resting) ตามด้วยการแยกตัวและแยกน้ำออก (Decanting) และกรอง (Filtering) เรียกว่า “Curing” หรือ การบ่มน้ำมันมะพร้าวจะถูกแยกตัว และกรองครั้งสุดท้าย หลังสิ้นสุด 3 สัปดาห์ น้ำมันที่ได้จะเป็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ Virgin Coconut Oil ซึ่งจะมีคุณสมบัติพิเศษคือ นอกจากจะใสบริสุทธิ์แล้ว ยังจะมีกลิ่นหอม และรสชาติของมะพร้าวอ่อนๆ อีกด้วย สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปีโดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น และปราศจากกลิ่นหืนใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะสาเหตุอันเนื่องมาจากสาร Tocopherol ในน้ำมันไม่ถูกทำลายลงด้วยขบวนการใช้ความร้อน ซึ่งสารตัวนี้ทำหน้าที่เสมือนสารกันบูดโดยธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin) จะแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 25 องศา
บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อความงาม
เกี่ยวกับเรื่องนี้น้ำมันมะพร้าวมีข้อดีคือ ต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านการเติมออกซิเจน โดยการป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกเติมออกซิเจน ได้ง่าย ๆ ประกอบด้วยสารโทโคไทรอีนอลที่มีอานุภาพสูง วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าว มีสารโทโคไทรอีนอล ซึ่งเป็นรูปของวิตามินอีที่มีคุณภาพสูงกว่าสารโทโคเฟอรอลซึ่งอยู่นวิตามินอีทั่วไป โดยเฉพาะที่มีอยู่ในเครื่องสำอางรักษาผิวถึง 40-50 เท่า ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ผิวสวย การนวดหรือชโลมตัวด้วยน้ำมันมะพร้าว ช่วยให้ผิวสวย เพราะ
1.1 ผิวดูอ่อนวัย น้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัว ทั้งในรูปน้ำมันมะพร้าวสด ๆ หรือในรูปของผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าว เช่น ครีม และโลชั่นจะทำให้ผิวพรรณนุ่มไม่แตกแห้งเป็นกระ หรือฝ้า แต่ชุ่มชื้นและเนียน ปราศจากริ้วรอย และเหี่ยวย่น ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีที่มีอานุภาคมากกว่าวิตามินอีในเครื่องสำอาง
1.2 ผิวนุ่มและเนียน ตามปกติผิวหนังจะสูญเสีย ความชื้นเพราะถูกแดดและลมน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น(moisturizer) จึงช่วยให้ผิวหนังนุ่มและเนียน
1.3 ช่วยป้องกันและรักษาฝ้า และ กระ อนุมูลอิสระ เป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า (รอยดำคล้ำหรือปนสีน้ำตาลอ่อน) และกระ วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยาทากันแดดได้ดี อีกทั้งยังไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนยากันแดดบางชนิด และราคาก็ถูกกว่า
2. ผมงาม เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นนำมันพืชที่มีคุณสมบัติที่เพิ่มความชุ่มชื้น อีกทั้งมีสารปฏิชีวนะ (จากโนโนลอริน) และสาร antioxidant (จากสารโทโคทรินนอลในวิตามินอี) จึงมีส่วนทำให้ผมงาม จากคุณสมบัติต่อไปนี้
2.1 ช่วยปรับสภาพผม น้ำมันมะพร้าวเป็น Hair conditioner ที่ช่วยทำให้ผมนุ่มดำเป็นเงางาม เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมการเจริญของเส้นผม
2.2 ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศรีษะ น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาสุขภาพของหนังศรีษะทั้งนี้ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่คอยทำลายเชื้อโรค หนังศรีษะจึงไม่มีรังแค หนังศรีษะจึงมีสุขภาพดี
2.3 ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี เส้นผมประกอบด้วยส่วนนอก ที่ทำหน้าที่หุ้มส่วนใน หากส่วนนอกอยู่ในสภาพที่ดี ไม่ฉีกขาดหรือแหว่งนั้น เส้นผมก็จะปกติ แต่ส่วนที่ทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี
กล่าวคือ น้ำมันมะพร้าวช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติยึดเกาะ กับโปรตีนของเส้นผมได้ดี อีกทั้งมีขนาดของโมเลกุลเล็กจึงแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก
วิธีการเก็บรักษาน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ 100%
น้ำมันมะพร้าวจะเป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องสาเซ็นเซียส (ไม่ได้เสีย) และจะกลับมาใสเหมือนเดิมที่อุณหภูมิห้อง โดยที่คุณสมบัติทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
ข้อมูลจาก :
http://www.primthaispa.com
http://www.filterinternational.com
|